10 หูฟัง True wireless ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 แนะนำหูฟังเสียงดี คุ้มค่า!
หูฟัง True Wireless กลายเป็นหนึ่งในไอเทมจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันของใครหลายๆ คน ด้วยความสะดวกสบาย ไม่ต้องมีสายรบกวน ทำให้ใช้งานง่ายทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง ออกกำลังกาย ประชุมออนไลน์ หรือสนทนาโทรศัพท์ แต่ด้วยตัวเลือกในตลาดที่มีอยู่มากมาย การเลือกหูฟัง True Wireless ที่เหมาะสมกับตัวเองอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
ข้อดีของหูฟัง True Wireless
อิสระในการเคลื่อนไหว: ไม่มีสายพันกันให้ยุ่งยาก สามารถใช้งานขณะออกกำลังกาย หรือเดินทางได้อย่างสะดวก
คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม: มาพร้อมเทคโนโลยีเสียงชัดเจน เบสหนักแน่น ฟังเพลงหรือดูหนังได้เต็มอรรถรส
ฟีเจอร์ทันสมัย: ระบบตัดเสียงรบกวน (Active Noise Cancellation), ระบบสัมผัสควบคุม (Touch Control) และการเชื่อมต่อที่เสถียรผ่าน Bluetooth
แบตเตอรี่อึด: ใช้งานต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง ชาร์จเร็ว และบางรุ่นสามารถใช้งานร่วมกับเคสชาร์จได้ตลอดทั้งวัน
ปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อหูฟัง True Wireless
คุณภาพเสียง: เลือกรุ่นที่รองรับเสียงระดับ Hi-Fi หรือมีระบบตัดเสียงรบกวนที่ดี
ความสะดวกสบาย: ตรวจสอบน้ำหนักและดีไซน์ที่สวมใส่ได้สบาย ไม่หลุดง่าย
อายุการใช้งานแบตเตอรี่: เลือกรุ่นที่ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานและมีเคสชาร์จคุณภาพสูง
ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์: รองรับการเชื่อมต่อกับทั้ง Android และ iOS เพื่อการใช้งานที่หลากหลาย
เมื่อเข้าใจปัจจัยเหล่านี้แล้ว การเลือกซื้อหูฟัง True Wireless ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น และช่วยให้คุณได้หูฟังที่ตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง
10 อันดับ แนะนำหูฟัง True wireless 2025
-
-
- Sony WF-1000XM5
- Apple AirPods Pro (Gen 2)
- Samsung Galaxy Buds3 Pro
- Bose QuietComfort Earbuds
- Sennheiser Momentum True Wireless 4
- Jabra Elite 4
- Edifier T10
- JBL Tour Pro 3
- HUAWEI FreeClip
- MARSHALL MOTIF II A.N.C.
-
1. Sony WF-1000XM5
7,900 บาท (เปิดตัว 10,990 บาท)
ราคายังไม่รวมส่วนลด
จุดเด่น
- คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม เบสหนักแน่น เสียงกลางและแหลมชัดเจน
- ระบบตัดเสียงรบกวนที่มีประสิทธิภาพสูง
- ฟีเจอร์หลากหลาย เช่น Adaptive Sound Control และ Speak-to-Chat
- รองรับการเชื่อมต่อพร้อมกัน 2 อุปกรณ์
จุดด้อย
- จุกหูฟังแบบโฟมต้องการการดูแลรักษาเป็นพิเศษ
- โหมด Speak-to-Chat อาจหยุดเพลงโดยไม่ตั้งใจ
ระยะเวลาการใช้งาน : ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 8 ชั่วโมง (เมื่อเปิดการตัดเสียงรบกวน) ชาร์จผ่านเคสได้อีก 16 ชั่วโมง รวมเป็น 24 ชั่วโมง
ความคุ้มค่า: 9.8/10
Sony WF-1000XM5 เป็นหูฟังไร้สายแบบ True Wireless รุ่นล่าสุดจาก Sony ที่มาพร้อมเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวนที่พัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ดีไซน์ของหูฟังและเคสชาร์จถูกปรับให้มีขนาดเล็กลงและน้ำหนักเบาลง ทำให้สวมใส่สบายและพกพาสะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Adaptive Sound Control ที่ปรับโหมดการฟังตามสภาพแวดล้อมโดยอัตโนมัติ และ Speak-to-Chat ที่หยุดเพลงเมื่อผู้ใช้เริ่มพูดคุย
เหมาะกับใคร
Sony WF-1000XM5 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหูฟังไร้สายคุณภาพสูง พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะใช้ฟังเพลง ประชุมออนไลน์ หรือใช้งานในชีวิตประจำวัน
2. Apple AirPods Pro (Gen 2)
8,990 บาท (เปิดตัว 8,990 บาท)
ราคายังไม่รวมส่วนลด
จุดเด่น
- ระบบตัดเสียงรบกวนที่มีประสิทธิภาพสูง
- คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยมด้วยชิป H2
- การเชื่อมต่อที่รวดเร็วและเสถียรกับอุปกรณ์ Apple
- เคสชาร์จ MagSafe ที่มีฟีเจอร์ช่วยค้นหาและพอร์ต USB-C
- ฟีเจอร์เสียงเชิงมิติพื้นที่ที่ปรับตามสภาพแวดล้อม
จุดด้อย
- พอร์ตชาร์จยังคงเป็น Lightning ในบางรุ่น
- เคสมีน้ำหนักมากขึ้นเนื่องจากฟีเจอร์เพิ่มเติม
ระยะเวลาการใช้งาน : ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 6 ชั่วโมง (เมื่อเปิดการตัดเสียงรบกวน) ชาร์จผ่านเคสได้อีก 24 ชั่วโมง รวมเป็น 30 ชั่วโมง
ความคุ้มค่า: 9.6/10
Apple AirPods Pro รุ่นที่ 2 (AirPods Pro 2) เป็นหูฟังไร้สายแบบอินเอียร์ที่พัฒนาเพื่อมอบประสบการณ์การฟังเพลงและการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น มาพร้อมกับระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟระดับโปรที่ปรับปรุงใหม่ ทำให้สามารถลดเสียงรบกวนภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีโหมดฟังเสียงภายนอกที่ช่วยให้คุณได้ยินเสียงรอบข้างเมื่อจำเป็น คุณภาพเสียงถูกยกระดับด้วยชิป H2 ที่ช่วยให้เสียงเบสลึกขึ้นและเสียงสูงชัดเจนขึ้น เคสชาร์จ MagSafe มาพร้อมพอร์ต USB-C และลำโพงในตัวเพื่อช่วยในการค้นหาเมื่อหาย นอกจากนี้ยังมีช่องคล้องสายเพื่อความสะดวกในการพกพา
เหมาะกับใคร
AirPods Pro 2 เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานสินค้าของ Apple อยู่แล้ว และต้องการหูฟังที่มีคุณภาพเสียงยอดเยี่ยมและระบบตัดเสียงรบกวนที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่เดินทางบ่อยหรือทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวนสูง
3. Samsung Galaxy Buds3 Pro
5,617 บาท (เปิดตัว 8,900 บาท)
ราคายังไม่รวมส่วนลด
จุดเด่น
- คุณภาพเสียงยอดเยี่ยมด้วยระบบไดรเวอร์คู่แบบ planar และ dynamic ที่ให้เสียงเบสลึกและเสียงสูงชัดเจน
- ระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ (ANC) ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี
- รองรับเสียงความละเอียดสูง (24-bit/96kHz) สำหรับอุปกรณ์ Samsung ที่รองรับ
- ฟีเจอร์ AI ที่ช่วยปรับแต่งเสียงและการตัดเสียงรบกวนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
- การออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ทำให้สวมใส่สบายและกระชับ
จุดด้อย
- ฟีเจอร์บางอย่างจำกัดการใช้งานเฉพาะอุปกรณ์ในระบบนิเวศของ Samsung
- ไม่มีการเชื่อมต่อแบบหลายอุปกรณ์พร้อมกัน (multi-device pairing)
ระยะเวลาการใช้งาน : ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 6 ชั่วโมง (เมื่อเปิดการตัดเสียงรบกวน) รวมกับเคสชาร์จจะสามารถใช้งานได้นานสูงสุด 24 ชั่วโมง
ความคุ้มค่า: 9.2/10
Samsung Galaxy Buds3 Pro เป็นหูฟังไร้สายระดับพรีเมียมจาก Samsung ที่มาพร้อมดีไซน์ใหม่แบบมีแกน (stem) และเทคโนโลยีเสียงที่ล้ำสมัย รวมถึงฟีเจอร์ AI ที่ช่วยปรับแต่งเสียงให้เหมาะสมกับการใช้งาน
เหมาะกับใคร
Samsung Galaxy Buds3 Pro เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานสินค้าของ Samsung และต้องการหูฟังที่มีคุณภาพเสียงยอดเยี่ยม พร้อมฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น ระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟและฟีเจอร์ AI นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการหูฟังสำหรับการฟังเพลงคุณภาพสูงหรือใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวน
4. Bose QuietComfort Earbuds
6,590 บาท (เปิดตัว 6,590 บาท)
ราคายังไม่รวมส่วนลด
จุดเด่น
- ระบบตัดเสียงรบกวนที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้การฟังเพลงเป็นไปอย่างเงียบสงบ
- คุณภาพเสียงยอดเยี่ยม ด้วยเสียงเบสลึกและเสียงสูงที่ชัดเจน
- รองรับการชาร์จแบบไร้สาย เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
- กันน้ำและเหงื่อระดับ IPX4 เหมาะสำหรับการออกกำลังกาย
- การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 ที่เสถียรและรองรับการเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์
จุดด้อย
- ขนาดของหูฟังและเคสชาร์จค่อนข้างใหญ่
ระยะเวลาการใช้งาน : ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 8.5 ชั่วโมง (เมื่อเปิดการตัดเสียงรบกวน) รวมกับเคสชาร์จจะสามารถใช้งานได้นานสูงสุด 20 ชั่วโมง
ความคุ้มค่า: 8.7/10
Bose QuietComfort Earbuds เป็นหูฟังไร้สายแบบอินเอียร์ที่มาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ (ANC) ที่มีประสิทธิภาพสูง ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การฟังเพลงที่ยอดเยี่ยมและเงียบสงบ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติการกันน้ำและเหงื่อระดับ IPX4 ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการออกกำลังกาย หูฟังนี้ยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายและการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 ที่เสถียร
เหมาะกับใคร
Bose QuietComfort Earbuds เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียงและระบบตัดเสียงรบกวนที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการหูฟังสำหรับการฟังเพลงในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวนสูง หรือผู้ที่ออกกำลังกายและต้องการหูฟังที่กันน้ำและเหงื่อได้
5. Sennheiser Momentum True Wireless 4
8,599 บาท (เปิดตัว 11,890 บาท)
ราคายังไม่รวมส่วนลด
จุดเด่น
- คุณภาพเสียงสมดุล เบสพอดี รายละเอียดเสียงดี
- รองรับ Bluetooth Codec หลากหลาย รวมถึง aptX Lossless และ LC3
- เชื่อมต่อได้สองอุปกรณ์พร้อมกัน (Multipoint)
- แอปพลิเคชัน Smart Control ปรับแต่งการใช้งานได้หลากหลาย
จุดด้อย
- ดีไซน์คล้ายรุ่นก่อนหน้า ขนาดหูฟังเท่าเดิม
- การควบคุมแบบสัมผัสอาจเกิดการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจขณะจับหูฟัง
ระยะเวลาการใช้งาน : ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 7 ชั่วโมง (เมื่อเปิดการตัดเสียงรบกวน) รวมกับเคสชาร์จจะสามารถใช้งานได้นานสูงสุด 30 ชั่วโมง
ความคุ้มค่า: 9.6/10
Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4 เป็นหูฟังไร้สายระดับพรีเมียมจาก Sennheiser ที่มาพร้อมคุณภาพเสียงยอดเยี่ยมและฟีเจอร์ล้ำสมัย รองรับ Bluetooth 5.4 และ Codec หลากหลาย เช่น SBC, AAC, aptX, aptX Adaptive/Lossless และ LC3 นอกจากนี้ยังมีระบบตัดเสียงรบกวนแบบปรับได้ (Adaptive ANC) และการเชื่อมต่อพร้อมกันสองอุปกรณ์ (Multipoint) เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
เหมาะกับใคร
Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4 เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียงและต้องการหูฟังที่มีฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น ระบบตัดเสียงรบกวนแบบปรับได้และการเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์ นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการหูฟังสำหรับการฟังเพลงคุณภาพสูงหรือใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวน
6. Jabra Elite 4
2,687 บาท (เปิดตัว 3,790 บาท)
ราคายังไม่รวมส่วนลด
จุดเด่น
- ระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ (Active Noise Cancellation) ที่มีประสิทธิภาพ
- ฟังก์ชั่น HearThrough ช่วยให้ได้ยินเสียงจากภายนอกโดยไม่ต้องถอดหูฟัง
- ดีไซน์สวมใส่สบายและกระชับ พร้อมมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP55
- รองรับการปรับแต่ง Equalizer ผ่านแอปพลิเคชัน Jabra Sound+
- ฟังก์ชั่น Spotify Tap ช่วยให้เข้าถึงเพลงโปรดได้อย่างรวดเร็ว
จุดด้อย
- ไม่มีการรองรับการชาร์จแบบไร้สาย
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งอาจไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานต่อเนื่องตลอดวัน
ระยะเวลาการใช้งาน : ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 5.5 ชั่วโมง (เมื่อเปิดการตัดเสียงรบกวน) รวมกับเคสชาร์จจะสามารถใช้งานได้นานสูงสุด 22 ชั่วโมง
ความคุ้มค่า: 9.5/10
Jabra Elite 4 เป็นหูฟังทรูไวร์เลสที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี Bluetooth Multipoint ที่ช่วยให้สามารถจับคู่กับสองอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังรองรับการทำงานร่วมกับ Google Fast Pair และ Microsoft Swift Pair ทำให้การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องง่ายดาย
เหมาะกับใคร
Jabra Elite 4 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหูฟังทรูไวร์เลสที่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการฟีเจอร์การเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์และระบบตัดเสียงรบกวนที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการหูฟังที่สวมใส่สบายและมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ
7. Edifier T10
799 บาท (เปิดตัว 799 บาท)
ราคายังไม่รวมส่วนลด
จุดเด่น
- คุณภาพเสียงดี เบสหนักแน่น เสียงใสชัดเจน
- สวมใส่สบาย ไม่เจ็บหู แม้ใช้งานเป็นเวลานาน
- ไมโครโฟนชัดเจน เหมาะสำหรับการสนทนาโทรศัพท์
- มีโหมดเกมที่ช่วยลดความหน่วงของเสียง
- ราคาประหยัด คุ้มค่ากับคุณภาพที่ได้รับ
จุดด้อย
- ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ (ANC)
- วัสดุอาจไม่แข็งแรงเท่าหูฟังระดับพรีเมียม
- ไม่มีฟีเจอร์การชาร์จแบบไร้สาย
ระยะเวลาการใช้งาน : ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง และเมื่อรวมกับเคสชาร์จจะสามารถใช้งานได้นานขึ้น
ความคุ้มค่า: 9/10
Edifier T10 เป็นหูฟังไร้สายแบบ True Wireless ที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การฟังเพลงที่ยอดเยี่ยมในราคาประหยัด ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายและสวมใส่สบาย ทำให้เหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เกมโหมดที่ช่วยลดความหน่วงของเสียง ทำให้การเล่นเกมเป็นไปอย่างราบรื่น
เหมาะกับใคร
Edifier T10 เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาหูฟังไร้สายคุณภาพดีในราคาประหยัด ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง ดูหนัง หรือเล่นเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการหูฟังที่สวมใส่สบายและมีไมโครโฟนชัดเจนสำหรับการสนทนาโทรศัพท์
8. JBL Tour Pro 3
11,440 บาท (เปิดตัว 11,500 บาท)
ราคายังไม่รวมส่วนลด
จุดเด่น
- คุณภาพเสียงระดับ Hi-Res ด้วยไดรเวอร์คู่แบบ Hybrid ที่ให้เสียงเบสทรงพลังและเสียงสูงชัดเจน
- เคสชาร์จอัจฉริยะพร้อมหน้าจอสัมผัส ช่วยให้ควบคุมการเล่นเพลงและการแจ้งเตือนได้สะดวก
- ระบบตัดเสียงรบกวนแบบปรับอัตโนมัติ ช่วยลดเสียงรบกวนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 เพื่อการเชื่อมต่อที่เสถียรและรวดเร็ว
- ฟีเจอร์เสียงรอบทิศทาง (Spatial Sound) เพิ่มประสบการณ์การฟังที่สมจริง
จุดด้อย
- ขนาดของเคสชาร์จใหญ่กว่าเคสหูฟังทั่วไป อาจไม่สะดวกต่อการพกพา
ระยะเวลาการใช้งาน : ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 10 ชั่วโมง (เมื่อเปิดการตัดเสียงรบกวน) รวมกับเคสชาร์จจะสามารถใช้งานได้นานสูงสุด 40 ชั่วโมง
ความคุ้มค่า: 9.8/10
JBL Tour Pro 3 เป็นหูฟังไร้สายระดับพรีเมียมที่มาพร้อมคุณภาพเสียงยอดเยี่ยมและฟีเจอร์ล้ำสมัย โดดเด่นด้วยเคสชาร์จที่มีหน้าจอสัมผัสขนาด 1.45 นิ้ว ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมการเล่นเพลง ปรับระดับเสียง และจัดการการแจ้งเตือนได้โดยตรงจากเคส นอกจากนี้ หูฟังยังรองรับระบบตัดเสียงรบกวนแบบปรับอัตโนมัติ (True Adaptive Noise Cancelling) และโหมดฟังเสียงภายนอก (Smart Ambient) เพื่อประสบการณ์การฟังที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
เหมาะกับใคร
JBL Tour Pro 3 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหูฟังไร้สายคุณภาพสูงพร้อมฟีเจอร์ล้ำสมัย โดยเฉพาะผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียงและความสะดวกสบายในการควบคุมการใช้งานผ่านเคสชาร์จ นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการระบบตัดเสียงรบกวนที่มีประสิทธิภาพสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวนสูง
9. HUAWEI FreeClip
5,999 บาท (เปิดตัว 6,490 บาท)
ราคายังไม่รวมส่วนลด
จุดเด่น
- การออกแบบแบบ Open-Ear ทำให้สามารถฟังเพลงได้โดยไม่ปิดกั้นเสียงรอบข้าง เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานขณะเดินทางหรือออกกำลังกาย
- คุณภาพเสียงที่ยอดเยี่ยม ด้วยไดรเวอร์ขนาด 10.8 มม. ที่ให้เสียงที่ชัดเจนและสมดุล
- ไมโครโฟน 6 ตัว พร้อมเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวน ช่วยให้การสนทนาชัดเจนแม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง
- รองรับการเชื่อมต่อพร้อมกันสองอุปกรณ์ ทำให้สลับการใช้งานระหว่างอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่น
- มาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP54 ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในทุกสภาพอากาศ
จุดด้อย
- ไม่มีระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ (ANC) เนื่องจากการออกแบบแบบ Open-Ear
- เสียงเบสอาจไม่หนักแน่นเท่าหูฟังแบบ In-Ear สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเสียงเบสที่ลึกและหนัก
ระยะเวลาการใช้งาน : ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 8 ชั่วโมง (เมื่อเปิดการตัดเสียงรบกวน) รวมกับเคสชาร์จจะสามารถใช้งานได้นานสูงสุด 36 ชั่วโมง
ความคุ้มค่า: 9.2/10
HUAWEI FreeClip เป็นหูฟังไร้สายดีไซน์ล้ำสมัยที่มาพร้อมกับการออกแบบแบบ C-Bridge ซึ่งได้รับการพัฒนาจากข้อมูลการทดสอบกับผู้ใช้งานมากกว่า 10,000 ราย เพื่อให้แน่ใจว่าการสวมใส่จะสบายและกระชับ ไม่ว่ารูปทรงของหูจะเป็นอย่างไร โครงสร้างทำจากโลหะนิกเกิล-ไทเทเนียมที่มีความยืดหยุ่นสูง และเคลือบด้วยวัสดุ TPU ที่มีความเงางาม ทำให้หูฟังนี้ไม่เพียงแต่มีความทนทาน แต่ยังดูทันสมัยและเป็นแฟชั่น
เหมาะกับใคร
HUAWEI FreeClip เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาหูฟังไร้สายที่มีดีไซน์ทันสมัยและสวมใส่สบาย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการฟังเพลงหรือรับสายโทรศัพท์ขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยยังคงรับรู้เสียงรอบข้างเพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพเสียงและความสะดวกสบายในการใช้งานระยะยาว
10. MARSHALL MOTIF II A.N.C.
7,490 บาท (เปิดตัว 7,490 บาท)
ราคายังไม่รวมส่วนลด
จุดเด่น
- คุณภาพเสียงที่ชัดเจนและสมดุล เบสไม่หนักเกินไป ทำให้ฟังเพลงได้หลากหลายแนว
- ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์และสวยงามตามสไตล์ Marshall
- รองรับการชาร์จแบบไร้สาย เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
- เคสและหูฟังมีความสามารถกันน้ำระดับ IPX5 ทำให้ทนทานต่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้น
จุดด้อย
- ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) มีประสิทธิภาพต่ำกว่าคู่แข่งในระดับราคาเดียวกัน
- การสวมใส่อาจไม่สบายสำหรับบางคน เนื่องจากวัสดุที่ใช้และการออกแบบ
ระยะเวลาการใช้งาน : ใช้งานต่อเนื่องได้ประมาณ 6 ชั่วโมง (เมื่อเปิดการตัดเสียงรบกวน) รวมกับเคสชาร์จจะสามารถใช้งานได้นานสูงสุด 30 ชั่วโมง
ความคุ้มค่า: 8.7/10
Marshall Motif II A.N.C. เป็นหูฟังไร้สายแบบอินเอียร์ที่มาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟ (ANC) และการออกแบบที่โดดเด่นด้วยสไตล์คลาสสิกของ Marshall โครงสร้างภายนอกมีพื้นผิวที่คล้ายกับแอมป์กีตาร์ของ Marshall พร้อมโลโก้สีขาวและปลายก้านสีทอง นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายและมีความสามารถในการกันน้ำระดับ IPX5 ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการออกกำลังกาย
เหมาะกับใคร
Marshall Motif II A.N.C. เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบดีไซน์คลาสสิกของ Marshall และต้องการหูฟังที่มีคุณภาพเสียงดีสำหรับการฟังเพลงในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม หากคุณให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพการตัดเสียงรบกวนหรือความสบายในการสวมใส่ อาจต้องพิจารณาทดลองสวมใส่ก่อนตัดสินใจซื้อ


